การครอบครองปรปักษ์

การครอบครองปรปักษ์

ในปัจจุบันเจ้าของที่ดินจำนวนไม่น้อยที่มีโแนดที่ดินอยู่ต่างจังหวัดหลายฉบับบจนลืมหรือจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ใดบ้าง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า ไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลยเป็นเวลานาน จนอาจมีบุคคลอื่นเข้ามาครอบครองหรือทำกินในที่ดินผืนนั้น หรือ บางคนกว้านซื้อที่ดินเอาไว้เก็งกำไรเท่านั้น โดยที่คนซื้อเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ดินของตัวเองอยู่ที่ไหนบ้าง เมื่อเข้าไปดูที่ดินของตัวเองตามที่อยู่ที่ปรากฏในโฉนดกลับปรากฏว่ามีคนมาอาศัยอยู่เสียแล้ว 

การครอบครองปรปักษ์ คือ การครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ บุคคลผู้ครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายไทย ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น

ความหมายของ "อสังหาริมทรัพย์" โดยทั่วๆไปหมายถึง ที่ดิน รวมทั้งทรัพย์ที่ติดกับที่ดิน เช่น อาคาร บ้าน ถารวัตถุ ส่วน "สังหาริมทรัพย์" คือทรัพย์ที่ขนและเคลื่อนที่ได้

การครอบครองปรปักษ์จะได้กรรมสิทธิ์ต้องปรากฏว่า ครอบครองติดต่อกัน ตลอดมาเป็นเวลานานตามกฏหมายกำหนดไว้ด้วย หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะต้องเป็นทรัพย์สินที่เจ้าของมีกรรมสิทธิ์อยู่ ซึ่งถ้าเป็นอสังหาที่ได้ครอบครองติดต่อกันนานถึง 10 ปี แต่ว่าการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือการเป็นเจ้าของที่ดินนั้นก็ยังไม่สมบูรณ์ที่สุด นอกจากผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินจะได้ไปจดทะเบียนการได้ที่ดินนั้นมากับเจ้าหน้าที่เสียก่อน โดยผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินจะต้องไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาแสดงสิทธิ์ในที่ดินว่าผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินนั้นเป็นเจ้าของที่ดินตามกฏหมายแล้ว จากนั้นก็ต้องไปดำเนินการติดต่อยังสำนักงานทะเบียนที่ดิน เพื่อจดทะเบียนที่ดินเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของที่ดินเดิมในโฉนดที่ดินนั้น มาเป็นของผู้ครอบครองปรปัษษ์ที่ดินเสียก่อน

สำหรับที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ หรือเรียกกันว่าที่ดินมือเปล่าว เช่น น.ส.3 หรือไม่มีหลักฐานเลย จะมีสิทธิเพียงการครอบครองเท่านั้น จึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้ แต่สามารถแบ่งการครอบครองกันได้  แต่ไม่มีกฏหมายรับรองให้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงสิทธิ

ดังนั้น คนที่เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหลาย ก็อย่าได้ละเลยที่ดินของตัวเอง ควรจะต้องเข้าไปดูแล้วทำประโยชน์บนที่ดินนั้น อย่าคิดว่าที่ดินจะไม่หายไปไหน เพราะกฏหมายได้ให้สิทธิกับคนที่ได้เข้าไปทำประโยชน์ให้กับที่ดินนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ในนาม

 

ผู้สนับสนุน